“น้ำตาล” เจ้าวายร้ายซุ่มสร้างริ้วรอยให้แลดูแก่ก่อนวัย

สาย(ขนม)หวานต้องมีสะดุ้ง หากรู้ว่า เค้กสตอเบอรี่หอมหวานตรงหน้า ชานมไข่มุกแสนอร่อยในมือ กำลังจะช่วยสร้างริ้วรอย ประทับตีนกาบนใบหน้าของคุณก่อนวัยอันควร !

ส่วนประกอบสำคัญของขนมหวาน ของหวาน เครื่องปรุง อาหาร มักใช้ “น้ำตาลซูโครส หรือน้ำตาลทราย” เป็นตัวช่วยเสริมให้เกิด “รสหวานฉ่ำชื่นใจ” ซึ่งรู้หรือไม่ว่า “เจ้าน้ำตาลทราย” นี่ล่ะ นอกจากจะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคต่างๆมากมาย ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผิวพรรณ โดยเฉพาะการเข้าไปทำลายโครงสร้างของอิลาสติน (Elastin) และคอลลาเจน (Collagen) สาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าและทำให้ผิวหนังแห้งกร้าน

อิลาสตินและคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบในชั้นหนังแท้ เส้นใยทั้งสองจะทำงานประสานกันอย่างต่อเนื่อง โดยคอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญทำให้เซลล์คงตัวยึดเกาะกัน ส่วนอิลาสตินประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญสองชนิดคือ “เดสโมซีน” (Desmosine) และ “ไอโซเดสโมซีน” (Isodesmosine) จะมีหน้าที่ทำให้ผิวยืดออกและหดกลับเข้าที่เดิมอย่างเป็นธรรมชาติ มีคุณสมบัติสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ชั้นผิว โดยทำหน้าที่ค้ำยันคอลลาเจนเอาไว้ เปรียบเสมือนกับสปริงที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น คิดภาพตามง่ายๆนะ สมมติเราดึงผิวหนังขึ้นมา สิ่งที่ทำให้ผิวหนังเราคงตัวอยู่ได้คือ คอลลาเจน แต่เมื่อเราปล่อยมือ ผิวหนังที่เราดึงขึ้นมา มันจะเด้งกลับ ซึ่งนั่นก็คือ หน้าที่ของอิลาสติน “สรุปคือ คอลลาเจนจะทำให้คงรูป ขณะที่อิลาสตินจะทำให้ยืดหยุ่นนั่นเอง” ทั้งนี้ เส้นใยคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสตินจะถูกตรึงไว้ด้วยสารที่ลักษณะคล้ายเจล หรือเรียกว่า “กรดไฮยาลูรอนิค (hyaluronic acid)” ซึ่งมีความสามารถในการจับน้ำได้ดี และช่วยรักษาปริมาตรของผิวเอาไว้ ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น ช่วยให้ผิวมีสุภาพดี แลดูอ่อนเยาว์

หากร่างกายของเราได้รับน้ำตาลมากเกินพอดี แล้วร่างกายนำไปใช้หรือเผาผลาญไม่หมด โมเลกุลน้ำตาลที่เหลือจะเข้าไปจับคอลลาเจนและอิลาสตินให้เกิดปฏิกิริยา “ไกลเคชั่น (Glycation)” ก่อให้เกิดสาร AGEs (Advanced Glycation End Products) ซึ่งจะทำให้ชั้นผิวแข็งตัว เปราะหักได้ง่าย ส่งผลทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการยุบตัว ผิวหนังแห้ง หย่อนคล้อย จนกลายเป็นริ้วรอย ส่วนริ้วรอยจะตื้นหรือลึก ขึ้นอยู่กับคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวนั้นถูกทำลายมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ เจ้าสาร AGEs ยังไปลดสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอ เกิดการอักเสบได้ง่าย และไวต่อการถูกทำร้ายจากแสงยูวี

แล้วเคยสงสัยไหมว่า “ทำไมเด็กๆ ชอบทานขนม ลูกอม นม น้ำอัดลม หรืออาหารที่ประกอบด้วยน้ำตาล ผิวพรรณถึงยังเต่งตึง ?” ความจริง ชั้นผิวของเด็กก็ถูกทำลายเช่นกัน แต่ด้วยกลไกกระบวนการทำงานของผิวในวัยเด็กจะถูกซ่อมแซมทันทีหลังจากถูกทำลาย เนื้อผิวของเด็กจึงฟื้นฟูกลับมาใสเด้งได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นระบบการปรับสมดุลของเซลล์ผิวก็จะแย่ลงตามวัย แต่เราสามารถชะลอความเสื่อมของระบบการปรับสมดุลได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงเจ้าความหวาน วายร้ายตัวดีที่เรามักเผยหม่ำตามใจปากอย่างยั้งไม่อยู่ เท่านี้ไม่พอ เราต้องรู้จักควบคุมปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมแก่ร่างกายต่อวัน ซึ่งโดยทั่วไป คนเราต้องการน้ำตาลเพียง 4 ช้อนชา หรือ 16 กรัม หากเป็นนักกีฬา หรือคนที่ต้องใช้พลังงานสูงต่อวัน ก็สามารถรับปริมาณน้ำตาลได้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะลดปริมาณน้ำตาลลง ต้องอย่าลืมว่า ทุกวันเรายังทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งอยู่ เช่น ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น โดยกระบวนการย่อยอาหารจำพวกแป้งจนถึงขั้นสุดท้าย แป้งจะเแปรปลี่ยนเป็น “กูลโคส” ซึ่งเจ้ากูลโคสนี่ล่ะ ที่เป็นโมเลกุลหน่วยเล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์เป็นพลังงาน หากมีกลูโคสมากเกินไปในร่างกาย และไม่ถูกเผาผลาญออกหมด มันจะไปจับคอลลาเจนและอิลาสติน และส่งผลกระทบต่อเซลล์ผิวในที่สุด

สาวๆ หรือใครที่ติดรสหวาน อ่านแล้วอาจจะร้อง “ขอเป็นสายหวาน ผิวเด้งหน้าเด็กทำได้มั้ย ?” -ขอบอกตรงนี้เลยว่า “ทำได้จ้า แต่ต้องยอมเหนื่อยหน่อยนะถึงจะดีต่อสุขภาพ” ก็คือ ทานรสหวาน หรืออาหารจำพวกแป้งเข้าไปมากเท่าไร ต้องออกกำลังกายให้ร่างกายเผาผลาญใช้พลังงานมากขึ้นตามด้วย ไว้เราจะมาแนะนำวิธีการออกกำลังกายกำจัดเจ้าน้ำตาล เพื่อถนอมผิวใสให้เด้งสวยคงความอ่อนวัยกันในบทความต่อไป

นอกจากเจ้าน้ำตาลตัวดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างริ้วรอยให้แก่ผิวเราแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยสำคัญที่เป็นต้นเหตุทำให้เซลล์ผิวของเราแก่ก่อนวัยอันควร กด Follow ติดตามสาระเจาะลึกในโลกของคนรักผิวพรรณได้กับ SKINPHILIC นะจ๊ะ